พ่อมีสิทธิ์ในตัวลูกแค่ไหน?

สิทธิในตัวลูกของพ่อ

เรื่องพ่อกับลูกเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่กฎหมายไม่ได้ให้ความคุ้มครองหรือรับรองแบบ 100% และมักจะเสียเปรียบฝ่ายแม่อยู่เสมอ เพราะความเป็นแม่ที่คลอดลูกออกมาชัดเจนมากพอที่กฎหมายจะรับรองสิทธิให้ก่อน

โดยเฉพาะพ่อที่มีลูกตอนไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับแม่

ทำให้เกิดปัญหาที่แม่กีดกันไม่ให้ลูกเจอพ่อ หรือแม้กระทั่งแม่ดึงตัวลูกไว้เพื่อเรียกเงินจากฝ่ายพ่อ เป็นต้น บทความนี้จะกล่าวถึงความแตกต่างกันในสิทธิในตัวลูกของพ่อสถานะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พ่อคนไทยจดทะเบียนสมรส, พ่อคนไทยไม่จดทะเบียนสมรส, พ่อต่างชาติจดทะเบียนสมรสหรือพ่อต่างชาติไม่จดทะเบียนสมรสและข้อแนะนำสำหรับคุณพ่อแบบต่างๆ

สารบัญเนื้อหา

พ่อไทย จดทะเบียนกับแม่

ตามกฎหมายแล้วสิทธิในตัวลูกหรือที่เรียกว่า “อำนาจปกครองบุตร” จะเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ลูกคลอดออกมาทันทีโดยกฎหมายได้กำหนดไว้ว่า ถ้าลูกคลอดออกมาแล้ว พ่อและแม่จดทะเบียนสมรสกันอยู่ทั้งคู่จะมีอำนาจปกครองบุตร “ร่วมกัน” หรือเรียกง่ายๆว่าคนละครึ่งนั่นเอง หมายความว่าในการดูแลลูกตัดสินใจเรื่องต่างๆ ต้องตัดสินใจด้วยกัน

กรณีนี้กฎหมายได้รับรองสิทธิให้พ่อเท่ากันกับแม่ทันทีตั้งแต่ลูกเกิดมาโดยไม่ต้องไปติดต่อที่อำเภอหรือไปศาลพิสูจน์ความเป็นพ่อก่อนเลย (อาจยกเว้นไว้ให้เรื่องหนึ่งคือไม่ใช่พ่อจริงๆแล้วพ่อที่แท้จริงไปร้องศาล)

เพราะฉะนั้นถ้าคุณพ่อคนไหนที่จดทะเบียนสมรสกับแม่แล้วลูกคลอดออกมา คุณได้สิทธิในตัวลูกเท่ากับแม่ทันทีครับ กฎหมายถือว่าการจดทะเบียนสมรสเป็นขั้นตอนที่ชัดเจนว่าทั้งสองคนอยากสร้างครอบครัวด้วยกันเลยได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ไว้หลายอย่างความจริงไม่ใช่แค่เรื่องลูก แต่รวมไปถึงทรัพย์สินด้วย

พ่อไทย ไม่จดทะเบียนกับแม่

เคสส่วนใหญ่ที่มีปัญหากันคือเคสที่ “ไม่ได้จดทะเบียนสมรส”​ เพราะกฎหมายสันนิษฐานไม่ได้เลยว่าจะเป็นลูกจริงๆ ซึ่งกฎหมายไม่ได้ห้ามไว้นะว่าถ้าไม่จดทเบียนสมรสแล้วจะมีลูกไม่ได้ แต่พอไม่รู้ว่าจะเป็นพ่อลูกกันจริงไหมเลยไม่ได้ให้สิทธิพ่อในการดูแลลูก (ในตอนลูกเกิด) เท่ากับกรณีที่จดทะเบียนสมรส

เท่ากับว่ากรณีนี้พอลูกเกิดมา “อำนาจปกครองอยู่กับแม่คนเดียว” แม้ว่าจะใช้นามสกุลเดียวกับพ่อ หรือพ่อเลี้ยงดูไปรับส่งที่โรงเรียน แต่ในทางกฎหมายการตัดสินใจเรื่องต่างๆเกี่ยวกับลูกเป็นสิทธิของแม่เท่านั้น

วิธีที่จะทำให้พ่อมีอำนาจปกครองบุตรคือต้องไป “จดทะเบียนรับรองบุตร” หรือ “ไปขอศาล” นั่นเอง ซึ่งจะทำให้พ่อได้อำนาจปกครองบุตร “ร่วมกัน” กับแม่เหมือนกรณีที่จดทะเบียนสมรส

การรับรองบุตร เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อ-ลูก โดยที่ไม่ต้องผูกพันกับผู้หญิงเเบบเป็นภริยาตามกฎหมาย

พ่อต่างชาติ จดทะเบียนกับแม่

กฎหมายไทยยอมรับการจดทะเบียนสมรสในต่างประเทศหรือจดทะเบียนสมรสที่สถานฑูตไทย ให้มีผลเป็นคู่สมรสกันได้ ดังนั้นจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติในเรื่องนี้เราใช้กฎหมายเหมือนกัน

และคุณพ่อต่างชาติถ้าจดทะเบียนสมรสแล้วมีลูกก็มีอำนาจปกครองบุตรร่วมกันแม่ “เหมือนกับคนไทย”

พ่อต่างชาติ ไม่จดทะเบียนกับแม่

พ่อต่างชาติที่ไม่ได้จดทะเบียนกับแม่ ก็มีสิทธิขอรับรองบุตรต่อศาลเหมือนกับพ่อคนไทยเลยครับ

เพียงแต่กระบวนการและเอกสารจะยุ่งยากมากกว่าแค่นั้นเอง หลายครั้งที่ไปร้องต่อศาลแล้ว ศาลสั่งให้ตรวจ DNA เอกสารที่ใช้หรือพฤติการณ์การคบหากันที่อาจต้องอาศัยเพื่อนบ้านมาเป็นพยานให้สักหน่อย ทั้งนี้ศาลเราเองก็ต้องการป้องกันเรื่องการ “สวมรอย” ให้ลูกคนไทยไปรับมรดกของต่างชาติ

ดังนั้นพ่อต่างชาติยังไม่ต้องกังวลครับ มีหนทางให้คุณได้สิทธิในตัวลูกแน่นอน หรือถ้าสามารถคุยกันได้ก็จูงมือกันพ่อแม่ลูกไปรับรองบุตรที่อำเภอได้เลย

ความเข้าใจผิดเรื่องการกีดกันลูก

“อำนาจปกครองบุตร” ไม่ใช่ “กีดกัน” แม้ว่าฝ่ายคุณแม่จะมีอำนาจปกครองลูกคนเดียวตั้งแต่ตอนลูกคลอดก็ตาม

แต่ไม่สามารถไปกีดกันไม่ให้พ่อไปเจอลูกได้นะครับ ถ้าเกิดว่ากีดกันเพื่อเรียกเงินเรียกทอง หรือไม่มีเหตุผลอะไรเลย ฝ่ายพ่อสามารถที่จะขอให้ศาลเพิกถอนอำนาจปกครองของคุณแม่ให้หมด และขอเอาลูกมาดูเเลเองคนเดียวได้

เพราะฉะนั้นฝ่ายหญิงเองที่ก็ต้องระวังการใช้อำนาจดูแลลูกด้วยถ้าไม่อยากถูกเพิกถอนแล้วให้พ่อเป็นคนดูแลลูกแทน

การรับรองบุตร คืออะไร

คือ การที่พ่อแม่และลูกเดินทางไปอำเภอแจ้งกับอำเภอว่าคนนี้เป็นลูกของพ่อจริงๆ และพ่อต้องการรับรองผลทางกฎหมายให้มีอำนาจปกครองบุตรร่วมกัน

การร้องศาล

คือการที่พ่อไปบอกศาลว่าเด็กคนนี้เป็นลูกและต้องการรับรองบุตร แต่ก่อนไปศาลต้องมีเหตุที่ไม่สามารถดำเนินการที่อำเภอได้ก่อนเท่านั้น เช่นอำเภอไม่ให้จดเพราะเด็กอายุน้อยเกินไปหรือไปอำเภอแล้วแต่แม่ไม่ยินยอม เป็นต้น

โดยเอาหลักฐานไปพิสูจน์ว่าเป็นพ่อลูกกันจริง ไม่ว่าจะตรวจ DNA หรือให้พยาน เพื่อนบ้านมาช่วยยืนยัน

จะเห็นได้ว่ากฎหมายให้ความสำคัญเรื่องความสัมพันธ์ พ่อลูกในทุกๆมุม แต่ก็ไม่ได้รับรองตามความเป็นจริงตั้งแต่แรก ต่างกับฝ่ายแม่ที่มีความชัดเจนว่าลูกคลอดออกมาจากในท้องโดยตรง ซึ่งถ้าพ่อต้องการสิทธิในตัวลูกจริงๆก็สามารถใช้ขั้นตอนตามกฎหมายเรียกร้องได้เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เพราะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ตลอดในสายเลือด

เนื้อหาและเรียบเรียงโดย #ทนายแชมป์ #champlawyer

สอบถามเพิ่มเติม

ติดต่อทนาย

ใส่ความเห็น